คุณเคยไปงานประชุมขนาดใหญ่ที่ผู้จัดได้ระดมสมองจากผู้ร่วมงานนับร้อยพันคนไหม ? ซึ่งคุณก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่พอประชุมจบ ข้อสรุปที่ได้จากความเห็นของผู้ร่วมประชุมก็มั่วไปหมด ไอเดียที่เอามาสรุปก็เลือกเอาที่ผู้ใหญ่ในงานชอบ สุดท้ายก็ไม่ค่อยได้อะไร นอกจากผู้จัดสามารถเหมาได้ว่าการประชุมนั้นๆมีข้อสรุปตามที่พวกเขาต้องการได้ ส่วนคุณก็นั่งบื้อๆรู้สึกเซ็งๆ
แต่คุณเชื่อไหมว่ามันเป็นไปได้ที่จะระดมสมอง ระดมไอเดียเป็นพันๆ แล้วผ่านกระบวนการคัดสรร หลอมรวม เชื่อมโยงอย่่างเป็นระบบ จนกลายเป็นสุดยอดไอเดียนวัตกรรมในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาโอกาสในประเด็นที่เราสนใจกันอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกระบวนการผลิตของเครื่องจักรในโรงงานทำช็อกโกแล็ตที่รวมเอาวัตถุดิบต่างๆที่แตกต่างและหลากหลายมาผสมผสานกันเป็นช็อคโกแล็ตที่กลมกล่อมหลากรูปแบบและรสชาติอันสุดจะต้านทาน ….
(From Charlie and the Chocolate Factory)
จะดีไหมถ้ามีเครื่องสร้างนวัตกรรมจากคนหมู่มากอย่างที่ว่า และในทุกๆสัมมนาหรือการประชุมต่างๆ สามารถดึงเอาความคิดความเห็นความรู้ ที่เกิดจากความเชัี่ยวชาญเฉพาะของแต่ละคนที่ไปงานนั้นๆ แล้วสามารถหลอมรวมกันเป็นไอเดียนวัตกรรมคุณภาพสูงที่เราสามารถร่วมกันลงทุนได้เพื่ออนาคตที่สร้างสรรค์ได้ ? ไม่ใช่เป็นการจัดการความรู้แนวระดมสมองคุณภาพต่ำแต่บ้าเคลมแบบที่เราพบเจอกันบ่อยๆ
ข่าวร้ายคือ โดราเอมอนไม่มีเครื่องที่ว่านี้
ข่าวดีคือ ผมพึ่งกลับมาจาก Swiss และได้เข้าร่วมกับกระบวนการที่ทำให้พบว่าเครื่องที่ว่านั้นมีอยู่จริงๆ เดินเครื่องมาสิบกว่าปีแล้ว
ภาพด้านบนคือสิ่งที่เรียกว่า IdeaMachine ซึ่งอธิบายกระบวนการ IdeaFactory ซึ่งมีบริษัทที่ Switzerland ชื่อ BrainStore เป็นผู้คิดขึ้นและเดินเครื่องเปิดบริการจัดกระบวนการสร้างนวัตกรรมจากคนหมู่มาก ซึ่งมีลูกค้ามากมายในหลายลักษณะงาน ตั้งแต่บริษัทอย่าง BMW ไปจนถึงองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศเช่น Swiss Agency for Development and Cooperation โลโก้เขาเป็นรูปสมองอย่างเท่ครับ
แนวคิดของเขาก็คือว่าไอเดียต่างๆที่จะนำไปสู่นวัตกรรมที่เยี่ยมยอดนั้นอยู่ในคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆทุกๆคน ไม่ใช่แค่อยู่กับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาเท่านั้น โจทย์จึงเกิดขึ้นว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถรวบรวมไอเดียต่างๆ คัดกรองและสังเคราะห์ขึ้นเป็นไอเดียสุดยอดเพียงไม่กี่ไอเดียที่มีคุณภาพในเชิงนวัตกรรมที่นำไปใช้จริงให้เกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้แนวคิดดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องใหม่ (ผมเคยเขียนแนวทางของอีกบริษัทหนึ่งที่ชื่อ Strategoz ไว้ อ่านได้นี่ที่)
แต่ความพิเศษของเขาคือความเชื่อที่ว่าเราสามารถที่จะจัดกระบวนการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถที่จะสร้างไอเดียคุณภาพดีได้ในเวลาและทรัพยากรที่จำกัด เป็นการสร้างไอเดียในระดับอุตสาหกรรม (Industrial IdeaProduction) คล้ายกับเป็นโรงงานที่มีวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และผลลัพธ์ (input – process – output) ที่สามารถวัดผลได้ ตั้งเป้าได้ และควบคุมได้ในระดับที่ดี
ซึ่งการคิดและจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบและสร้างสรรค์ไปพร้อมๆกันนั้นเป็นธรรมชาติของคนสวิสหรืออุตสาหกรรมในสวิสเลยทีเดียวที่สำคัญโรงงานไอเดียนี้ตั้งมาได้ 18 ปีแล้ว สามารถมีลูกค้าและขยายกิจการได้ในระดับที่ดีอีกด้วย
แน่นอนว่าโลกซึ่งนวัตกรรมกลายเป็นปัจจัยหลักแห่งการสร้างความสามารถในการแข่งขันนั้น บริการของBrainStore ย่อมจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการจัดการความรู้เพื่อสร้างนวัตกรรมโดยคนหมู่มาก
(Idea Sand-box, reception air-port style)
โรงงานนี้มี office ที่น่ารัก น่าสนุก และน่าทำงานมาก คือมีที่ให้ทำงาน มีที่ให้นั่งคิด มีที่ให้ประชุม ในบรรยากาศสบายๆเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ แม้แต่ห้องน้ำนอกจากมีสัญลักษณะหญิง ชาย แล้วก็ยังมีสัญลักษณะ Bisexual อีกต่างหาก
(toilet female,male, anythingelse) (Stairs to second floor)
มีระเบียงและพื้นที่โล่งให้ออกไปสูดอากาศคิดไอเดียได้ข้างนอก เรียกว่าเป็นสวรรค์ของคนรุ่นใหม่กันเลยทีเดียว
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นว่ากระบวนการในการสร้างไอเดียนวัตกรรม อย่างมีส่วนร่วมจากคนจำนวนมากๆนั้นทำอย่างไร เราจะมาขยายรูป IdeaMachine ด้านบนให้ชัดขึ้นดังต่อไปนี้
(IdeaMachine)
กระบวนการที่เรียกว่า IdeaMachine นี้จะมีส่วนประกอบย่อยอยู่สี่ส่วนเสมอ คือ การรวบรวมไอเดียในเชิงรุก (IdeaBoosting) การบีบอัดไอเดีย (Compression) การคัดเลือก (Selection) และการสนับสนุนการใช้ไอเดียให้เกิดผลจริง (Implementation support)
ก่อนที่จะเปิดเครื่องเริ่มกระบวนนั้น จะมีขั้นตอนสำคัญอีกหนึ่งขั้นก็คือการกำหนดเป้าหมายกว้างๆและเงื่อนไขต่างๆของไอเดียที่จะเกิดขึ้น (Idea Conditions & Criteria) เพื่อให้กระบวนการมีเอกภาพและมีจุด focus ไม่หลุดออกไปจนไร้ประโยชน์
เช่นอาจจะกำหนดว่าเป้าหมายคือ 20 ไอเดียที่จะทำให้โลกกลายเป็นโลกของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่รับผิดชอบต่อสังคม และวางกรอบเงื่อนไขว่าไอเดียนั้นจะต้องเน้นไอเดียที่สามารถขับเคลื่อนภาพรวมในประเด็นดังกล่าวได้ เน้นการระดมและจัดการทรัพยากรในพื้นที่ มุ่งสนับสนุนคนรุ่นใหม่ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ได้ และต้องทำได้ภายใน 10 ปีเป็นต้น
1. การรวบรวมไอเดียเชิงรุก (IdeaBoosting) มีเป้าหมายในการรวบรวมไอเดียหรือแรงบรรดาลใจนับพันที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เราสนใจอยู่ จากคนที่หลากหลายที่สุด โดยมีเทคนิคที่หลากหลาย เช่น
NetScouting คือไปดูข้อมูลเกี่ยวกับไอเดียที่เกี่ยวข้องจากอินเทอร์เน็ต
TrendScouting คือการนำกระแสสังคมเศรษฐกิจ แฟชั่น ฯลฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นนั้นๆเพื่อมาเป็นฐานให้คิดไอเดียต่างๆจาก trends ที่เกิดขึ้น
IdeaInterviews คือการสัมภาษณ์คนที่เกี่ยวข้องหรือสนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะคนจากลูกค้าเอง ในหลากหลายรูปแบบตั้งแต่โทรศัพท์จนถึงการนัดเจอจริงๆ อาจจะตั้งแต่ 30 คนไปจนถึงเป็นร้อยๆคน
ExpertInterviews คือการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในประเด็นนั้นๆ เพื่อให้ได้ความเห็นเชิงวิชาการ และเชิงลึกเป็นหลัก
(Idea boosting)
ซึ่งข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงนี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานของกิจกรรมหลักของ IdeaBoosting ที่เราเรียกว่า….CreativeTeam ซึ่งเป็นการรวบรวมคนที่หลากหลายทั้งคนทั่วไปที่สนใจ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ คนรุ่นใหม่ ฯลฯ มารวมกันเพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆขึ้นมานับพันๆไอเดียในเวลาไม่นาน
โดยไอเดียที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากการต่อยอดไอเดียหรือข้อมูลพื้นฐานที่ได้อย่างการใช้เครื่องมือที่กล่่าวมาแล้วด้านบน และไอเดียในขั้นนี้เรียกว่าเป็นไอเดียดิบคือยังไม่สุก ไม่ชัดเจน แต่พอใช้ได้ จะบ้าบอแค่ไหนก็ได้ขอให้อยู่ในกรอบคร่าวๆของ project ซึ่งได้กำหนดเงิื่อนไขกว้างๆมาแล้ว
2. การบีบอัดไอเดีย (Compression) มีเป้าหมายที่จะบีบอัด คัดกรอง และหลอมรวมไอเดียต่างๆที่ได้จากขั้นแรกเข้าด้วยกัน โดยมี process ย่อยๆดังนี้
IdeaCity เป็นการจัดแสดง Exhibition ของแรงบรรดาลใจ ไอเดีย และข้อมูลต่างๆที่ได้จากกระบวนการแรก ให้ผู้เข้าชม และจัดกระบวนการคัดเลือก และหลอมรวมไอเดียต่างๆเข้าด้วยกันให้เกิดความชัดเจนและคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
ThinkTank นำเอาผู้เชี่ยวชาญจากสาขาที่เกี่ยวข้องมาประเมินและพัฒนาคุณภาพของไอเดียที่เหลืออยู่จากกระบวนการ IdeaCity โดยเฉพาะการมองว่าไอเดียที่ได้นั้นตรงกับเงื่อนไขที่วางไว้ตั้งแต่ต้นอย่างไร โดยทัวไปก็อาจจะมีไอเดียประมาณ 20 ไอเดียที่เข้าสู่รอบนี้
IdeaDesign นำเอาไอเดียที่คัดเลือกและพัฒนาจาก ThinkTank มาออกแบบให้เป็นภาพเข้าใจง่าย อธิบายให้คนทั่วไปฟังแล้วรู้เรื่องอย่างรวดเร็ว และสามารถใช้ภาพเปรียบเทียบกับไอเดียใกล้เคียงได้อย่างง่ายดาย
3. การเลือกไอเดีย (Selection)เป็นการเลือกไอเดียโดยคนจำนวนมาก เช่นผ่านการจัดสัมมนา หรือการประชุม แล้วมีการนำเสนอไอเดียต่างๆที่ได้ออกมาจากกระบวนการ แล้วให้คนโหวตว่าชอบไม่ชอบอันไหน เท่าใด แล้วรวบรวมผลที่ได้แบบเกือบ Real-time สามารถบอกคนที่เข้าร่วมได้ว่าสรุปแล้วไอเดียไหนที่คนเลือกมาก เลือกน้อยและยังมีการแยกประเภทไอเดียที่เกิดการแบ่งขั้วของผู้เลือกอย่างรุนแรง (polarity) คือเป็นไอเดียที่มีทั้งคนชอบและเกลียดมากเท่าๆกัน
ซึ่งจากประสบการณ์ของ IdeaFactory มักจะเป็นไอเดียที่น่าสนใจและมีโอกาสสูงที่จะเกิดเป็นนวัตกรรมที่สำคัญได้ในอนาคต
4. การสนับสนุนให้เกิดการใช้ไอเดียได้จริง (Implementation support)ในขั้นนี้จะได้มีการรวบรวมคนที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดการดำเนินงานตามไอเดียที่มี แล้วมาช่วยกันทำ Roadmap ว่าควรจะแบ่งกลุ่มหรือควบรวมไอเดียต่างๆอย่างไร แล้วควรจะทำไอเดียอะไรก่อน อะไรหลัง เมื่อไหร่ ใครทำ ใครจะเป็นผู้สนับสนุน
(Road-mapping)
เมื่อได้ Roadmap แล้วก็ยังจะต้องทำงานเพิ่มว่าไอเดียใน Roadmap นั้นจะขายหรือทำให้มีผู้สนใจเอาไปใช้จริงๆได้อย่างไร มีการคิดถึงทั้งความน่าสนใจเชิงเหตุผลและอารมณ์ของไอเดียนั้นๆ เพื่อให้นำไปสู่การปฏิบัติได้จริงโดยมีผู้ปฏิบัติรู้สึกเป็นเจ้าของร่วม และสุดท้ายก็มีการทำสรุปว่าแต่ละไอเดียใน Roadmap จะทำอย่างไรในภาคปฏิบัติโดยใครบ้าง ก็เป็นอันจบกระบวนการ IdeaMachine
หากสนใจเทคนิควิธีการเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆที่สามารถนำมาใช้ได้ตลอดกระบวนการก็ลองคลิกดูที่นี่ครับ หรือจะอ่านหนังสือของ BrainStore ที่แนะนำกระบวนการไว้โดยละเอียดก็ คลิกที่นี่เลยครับ
(SDC chairman Walter Fust with our final roadmap)
ผมค่อนข้างประทับใจและเห็นประโยชน์ของกระบวนการดังกล่าวมาก หัวข้อที่ผมเข้าไปร่วมกับการใช้ IdeaMachine นี้ก็คือเรื่อง The World Of Sustainable Entrepreneurs by 2020 ซึ่งพยายามหาไอเดียที่ดีที่สุดที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการที่ใส่ใจดูแลและแก้ปัญหาสังคมให้ได้ในวงกว้างในระดับโลก ซึ่งผลที่ได้ออกมาก็ค่อนข้างน่าพอใจ
คือสามารถดึงเอาความสามารถของคนที่เข้าร่วมงาน Global Knowledge Conference 3 นับพันคนให้สามารถเกิดการพัฒนา คัดกรอง และหลอมรวมไอเดียได้อย่างดี ซึ่งไอเดียก็มีตั้งแต่ของชัวร์เช่นการสร้างตลาดทุนสำหรับผู้ประกอบการพันธู์ใหม่นี้ ไปจนถึงต้องมีเครื่องบินพับได้ (Foldable plane) เพื่อแก้ปัญหา logistics ซึ่งแม้จะเหมือนบ้าแต่ก็มีผู้กำลังพัฒนาอยู่จริง!
ข้อที่น่าสนใจที่สุดก็คือเจ้าของเขาบอกว่าเราเริ่มธุรกิจนี้ตอนอายุ 21 ก็คือ drop จากมหาวิทยาลัยมาทำเลย โดยตอนแรกก็เป็นแนวคิดง่ายๆว่าจะให้คนรุ่นใหม่วัยรุ่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมของบริษัททั่วๆไปอย่างไร ทำไปทำมาก็กลายเป็นเครื่อง IdeaMachine อย่างที่เล่ามา ที่ office มีคนรุ่นใหม่ทำงานเป็นหลักรวมๆ 60 คนเห็นจะได้ อายุก็เฉลี่ยไม่น่่าเกิน 22 – 35 แต่ก็มี staff ในระดับ manager ที่มีประสบการณ์มากกว่าช่วยดูแลอีกที
พอประชุมเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นเจ้าของ BrainStore ก็ชวนไปเดินข้ามเขาสูงประมาณ 1600 เมตร ก็ไปกับเขา หิมะหนามาก ด้วยความอ้วนทำให้ผมแทบตาย หมดแรงกันเลยทีเดียว เพราะเดินรวดเดียว 6 ชม.ไม่หยุดเลย
(รูปที่ยอดเขา)
ประชุมจบเราก็เลยตกลงกันว่าจะพยายามนำ process นี้มาลองดูในเมืองไทย อาจจะเป็นเรื่องโลกร้อน web2.0 หรือสุขภาวะ หรืออะไรซักอย่างที่จะมีคนอยากร่วมและมีคนจ่ายตังค์ 🙂
หวังว่าเรื่องการจัดการความรู้ด้วยเทคนิคใหม่ๆที่เน้นนวัตกรรมแบบนี้จะมีประโยชน์บ้างครับ
สุนิตย์ 8-2-08
น่าสนใจมากครับ
คงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ “การคิดสร้างสรรค์” ของคนไทย ดีขึ้นมากๆๆ
คงไม่จำกัดเฉพาะแวดวงการเมือง
ธุรกิจ สังคมศาสตร์ ยังจำเป็นต้องมี
เมืองไทยจะพัฒนาขึ้นมาก ถ้ามีสิ่งนี้
ผมเชื่อในการยกระดับความคิดสร้างสรรค์ของมวลชน
เพื่อให้มวลชนรุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงจากระดับบนทำได้ยากเกินไป
ระดับล่างจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนกว่า
ขอบคุณที่ comment ครับ
ผมคิดว่า ถ้าเรานำสิ่งเหล่านี้มาปรับใช้ใน
คงต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อย ผมคิดว่า ที่เห็นชัด ๆ ว่า
ต้องมีปัญหาแน่ ๆ ก็คือ selection
มีอยู่สองอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดชัวร์
– ไม่มีอะไรให้ select
หรือ
– มีอะไรให้ select แต่ select แล้ว
เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก แบบที่ไม่ได้หวังการ
debate เพื่องานที่มีคุณภาพสูงขึ้น (เกิดการเมือง
นั่นเอง)
ผมคิดว่าน่ากลัวเหมือนกันถ้าเกิดแบบหลังขึ้น
การเมืองสงบยากซะด้วย ถ้าจะให้เกิดการระดมความคิด
ในเรื่องของนวัตกรรมแบบนี้ คงต้องให้เกิดกับหมู่คน
ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ และมี attitude กับ will
ที่จะสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพจริง ๆ
ผมว่า กลุ่มคนที่เข้าข่ายแบบนี้ คงมีไม่มากนักในเมืองไทย
สิ่งที่เราทำได้คงเป็นการค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ
>_< ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ปรับแบบพอเพียง
ถ้าเราสามารถผลักดัน idea ของ ideafactory
ให้เข้ามาในวงการศึกษา แล้วปลูกฝังพฤติกรรมที่ดี
กันตั้งแต่เด็กได้แล้วหล่ะก็ ผมว่า คลื่นลูกใหม่คงน่ากลัวน่าดูเชียว 😀
ปล. idea roadmap นี่เข้าท่าดี ขโมยไปใช้บ้างดีกว่า 😀
ปล2. ผมทำ rss link ไว้แล้วนะคร๊าบ แฮะ ๆ
ขอรบกวนสอบถามครับ ไม่ทราบว่า สิ่งที่พูดถึงนั้น เป็นวิธีการเดียวกัน หรือมีส่วนเกี่ยวเนื่องกันกับบริษัท The Idea Factory ที่สิงคโปร์หรือไม่ครับ เพราะผมเห็นว่าเป็นวิธีในการหา Idea เหมือนกัน และผมกำลังสนใจที่จะไปอบรมที่นี่อยู่ครับ โดยผมทำงานเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ครับ รบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ ว่าวิธีการนี้จะนำมาใช้ประโยชน์ในการทำงานของผมได้หรือไม่ อย่างไรครับ
ขอบคุณครับ
http://www.ideafactory.com