เพื่อช่วงอาทิตย์ที่แล้ว (3-5 มี.ค. 08) ผมได้รับเชิญจาก UN Economic Commission for Africa (UNECA) ให้ไปช่วยเป็น Speaker ในชุดงาน Sciences for Africa ที่เมือง Addis Ababa ประเทศ Ethiopia และให้ไปช่วยพัฒนาแผนการสร้างเสริมผู้ประกอบการเพื่อสังคมในหมู่คนรุ่นใหม่ (Young social entrepreneurs) ของ UNECA ที่ต้องการขยายบทเรียนที่เพื่อนๆและผมช่วยกันทำเรื่องกองทุนสนับสนุนผู้ประกอบการทางสังคม (Youth Social Enterprise Initiative -YSEI) ซึ่งกำลังเนินการอยู่ในเอเชียเป็นปีที่สอง ซึ่ง UNECA เห็นว่าน่าจะใช้แนวทางเดียวกันใน Africa ได้ โดยเฉพาะในการประกอบการที่เกี่ยวกับประเด็น ICT, Climate change และ วิทยาศาสตร์ โดยให้พวกผมไปช่วยเป็นที่ปรึกษาให้
ความสนใจที่มีมากมาย และโอกาสของเยาวชนในอาฟริกาซึ่งเป็นกลุ่มอายุที่มีจำนวนมากที่สุด
ผมนำเสนอให้ตัวแทนของ UN นักวิทยาศาสตร์ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจ กว่าร้อยคนที่สนใจหัวข้อ Startup and Change the World with Youth Social Enterprise ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ดูสนใจและได้แรงบรรดาลใจมากเมื่อผมพูดถึงตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่สร้างโอกาสในด้านต่างๆ เช่นในเรื่องการทำระบบเกษตรปราณีตที่ช่วยแก้ปัญหาความยากจนในอีสานของไทยได้กว่าสี่ร้อยครอบครัว หรือการทำร้านขายส่งโดยเอาของหัตกรรมของชาวบ้านมาขายและรายได้กลับไปที่ชาวบ้านอย่างเป็นกอบเป็นกำซึ่งทำรายได้กว่าแสนเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้วในอินเดีย
สิ่งที่พวกเขาประทับใจที่สุดก็คือความคิดที่ว่าต่อไปนี้คนรุ่นใหม่สามารถจะเป็นทางออกของปัญหาได้ ไม่ใช่จะเป็นแค่เพียงเหยื่อของความยากจนเท่านั้น หรือความคิดที่ว่าคนรุ่นใหม่สามารถคิดที่จะสร้างงานได้ ไม่ใช่คิดแต่จะหางานอย่างเดียว ซึ่งในอาฟริกานั้นอัตราการว่างงานนั้นสูงเหลือเกิน
ปัญหาเดิมๆที่เจอกันทุกที่
ความท้าทายของอาฟริกานั้นก็มีเรื่องเดิมๆที่เราเจอกันในเอเชียเช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาของบริบททางสังคม เช่นการที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนให้เยาวชนลุกขึ้นมาทำการประกอบการทางธุรกิจหรือทางสังคมเอง แต่อยากให้ลูกๆไปทำงานในภาคราชการหรือองค์กรใหญ่ๆมากกว่า ซึ่งคนที่มาประชุมกับผมก็ยังบอกว่าเขาไม่เคยสนับสนุนลูกให้ทำธุรกิจเลยจนมารู้อีกทีก็คือลูกแอบไปทำธุรกิจจนประสบผลสำเร็จ
อีกปัญหาเดิมๆก็คือความไม่แข็งแรงของธุรกิจ SMEs ในอาฟริกา ซึ่งการทำธุรกิจแบบเล็กๆแต่ไม่ได้เล็กไปเลยนี้ดูจะไม่ใชสิ่งที่คนที่นั่นมีความรู้เท่าใดนัก และยังไม่ค่อยมีเสียด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นธุรกิจเพื่อสังคม (social enterprise) แล้วยิ่งแทบไม่มีเลย แต่ผมรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเสียด้วยซ้ำ เพราะหากส่งเสริมให้เกิดธุรกิจพันธ์ใหม่นี้แล้ว สุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นธุรกิจหลักที่ทำให้อาฟริกากลายเป็นทวีปที่มีธุรกิจที่ยั่งยืนในเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคตก็ได้ โดยเฉพาะการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ในบริบทอาฟริกันนั้นก็มักต้องเริ่มในชุมชนก่อน ดังนั้นการสร้างธุรกิจที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นย่อมเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับฐานลูกค้าของตนให้แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ
สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การทำให้คนรุ่นใหม่ในอาฟริกาเห็นโอกาสในการประกอบการเพื่อสังคมในหลากหลายรูปแบบที่ตนเองสามารถทำเองได้โดยไม่ต้องใช้ทุนรอนมากนัก และมีระบบสนับสนุนการเกิดขึ้นของผู้ประกอบการเพื่อสังคมรุ่นใหม่ที่เชื่อมโยงกับประเทศในทวีปอื่นๆ
เพื่อนอาฟริกันของผมที่อยากเป็นผู้ประกอบการทางสังคม
ผมไปเจอเพื่อนคนหนึ่งชื่อ Joseph ที่พาผมเดินทางไปดูที่นั่นที่นี่ ตั้งแต่มหาวิทยาลัยซึ่งสวยและกว้างใหญ่เพราะเคยเป็นวังมาก่อน พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของ Ethiopia ซึ่งเล็กกว่าของไทยเสียหลายเท่าด้วยซ้ำทั้งๆที่มีประวัติมายาวนานกว่าสองพันปี แต่เพื่อนผมคนนี้เขาอยากเป็นผู้ประกอบการทางสังคม ดูๆเขาจะมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ เขาเปิดร้านอาหารและมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่โดยมีคอมพ์หนึ่งเครื่อง และจ้างเด็กผู้หญิงยากจนมาทำงานหนึ่งคนแต่ก็ให้ค่าตอบแทนที่ดี แทนที่จะจ้างคนทั่วๆไป เขาอยากขยายแนวการทำธุรกิจแบบนี้ เป็นเน็ตคาเฟ่ที่จ้างผู้ด้อยโอกาสมาทำงานและอบรมให้เขากลายเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการใช้คอมพิวเตอร์ และอาจจัดกิจกรรมเพื่อสังคมบ้างร่วมกับอาสาสมัครต่างชาติที่เขาสนิทๆอยู่หลายๆคน ซึ่งผมมองว่าเป็นโมเดลธุรกิจเพื่อสังคมที่ง่ายชัดเจนและน่าสนับสนุนทีเดียว
สถาบันที่เชื่อมโยงกันระหว่าง Ethiopia ไทย และญี่ปุ่น
ระหว่างที่คุยๆกับเพื่อนอาฟริกาของผมและอาสาสมัครญี่ปุ่น อยู่นั้น ผมก็ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมประเทศที่เจริญมายาวนานกว่าสองพันปีอย่าง Ethiopia ซึ่งไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร คล้ายๆกับญี่ปุ่นและประเทศไทยนั้นจึงตกต่ำลงได้ในช่วงศตวรรษนี้จนแทบจะกลายเป็นเครื่องหมายของความยากจนไปเสียด้วยซ้ำ
สิ่งที่ได้จากบทสนทนานั้นทำให้ผมกลับมาเหลียวหลังดูประเทศไทยเลยทีเดียว เขาบอกว่า Ethiopia เคยมีสถาบันกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์สามารถทำให้ประเทศรอดพ้นยุคอาณานิคมมาได้ตลอด แต่ในช่วงเลี้ยวต่อของการพัฒนาแบบทุนนิยมที่ประเทศเขาก็ต้องเข้าสู่การแข่งขันในระดับภูมิภาคในรอบร้อยปีที่ผ่านมานั้นมีปัญหารุนแรงอยู่ที่ระบบเจ้านายและตระกูลที่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งไม่สามารถปรับตัวได้ แม้กษัตริย์จะพยายามแก้ปัญหาเท่าใด ก็ไม่สามารถทำลายพวกที่หากินอยู่รอบๆราชวงศ์ซึ่งมีทั้งเงินและอำนาจให้หมดไปได้ พวกนี้จึงหาประโยชน์ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร เพราะจะอ้างสถาบันฯอยู่ตลอดเวลา และรวมตัวกันผูกขาดผลประโยชน์ของเศรษฐกิจหลักๆของประเทศ จนถ่วงความเจริญอย่างรุนแรง
จนในที่สุดก็เกินการโค่นล้มระบอบลง พร้อมๆกับการเข้ามามีบทบาทของมหาอำนาจอย่างสหภาพโซเวียตในสมัยนั้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปัจจุบันของ Ethiopia เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยซึ่งได้ทำโครงการมากมายที่ให้ประโยชน์กับสังคมและกำลังทำให้ประเทศเขาพัฒนาขึ้นได้เร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่บรรยากาศที่ผมเดินอยู่กลางถนนในเมืองก็ยังคงค่อนข้างน่ากลัวอยู่ มีคนว่างงานเดินมากมาย มีขอทาน และคนที่เข้ามาพยายามจะคุยด้วยแล้วขอเงินทางใดทางหนึ่ง ทำให้ผมรู้สึกว่าประเทศใดๆก็ตามไม่ว่าจะเจริญแค่ไหน ถ้าพลาดด้วยการผูดขาดอำนาจของคนกลุ่มหนึ่งมาถ่วงให้ประเทศไปต่อไม่ได้แล้วนั้น สุดท้ายก็อาจจะมีชะตากรรมไม่ผิดไปจาก Ethiopia ก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่เมืองไทย
สุดท้ายเพื่อนอาสาสมัครญี่ปุ่นก็บอกว่า สถาบันกษัตริย์ที่จะทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองได้ดังเช่นญี่ปุ่นนั้นจะต้องอยู่เหนือหรืออยู่นอกผลประโยชน์ทุกๆอย่างรวมทั้งการเมือง และที่สำคัญคือจะต้องตรวจสอบได้โดยระบบกฏหมาย จะต้องโปร่งใส หากแม้มีสมาชิกในราชวงศ์ทำผิดก็ต้องสามารถดำเนินคดีทางกฏหมายได้ เพื่อไม่ให้ใครมาหาประโยชน์จากการแอบอ้างสถาบันฯหรือใช้ความน่าเชื่อถือในตำแหน่งคนใกล้ชิดเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ต้องกลัวใครตรวจสอบ
ซึ่งหากทำได้เช่นนี้สถาบันกษัตริย์ไม่ว่าในประเทศใดก็ย่อมจะสามารถกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงไว้ด้วยคุณธรรม และความยุติธรรมในการที่จะสร้างแรงบรรดาลใจและเป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติได้อย่างมั่นคง บริสุทธิ์ และยั่งยืน ดังเช่นในญี่ปุ่นหรืออังกฤษ และย่อมจะไม่จบลงด้วยความขัดแย้งจนถึงจุดสิ้นสุดดังเช่น Russia, Ethiopia ในช่วงศตวรรษที่แล้ว หรือเนปาลในศตวรรษนี้
ผมกลับมาเมืองไทยแล้วโดนฉีดยาไปเข็มหนึ่งตรงที่ด่านคุมโรค (Health Control) ที่สนามบิน เพราะผมลืมเอาเอกสารยืนยันการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เหลืองที่ผมเคยฉีดไปแล้วมา แต่ในใจก็ยังคิดถึงทั้งโอกาสในอาฟริกาที่ผมคงต้องกลับไปอีกหาก UNECA สนใจจริงๆ และความทรงจำเกี่ยวกับบทเรียนเรื่องสถาบันฯจาก Ethiopia ยังคงทำให้ผมรู้สึกแปลกๆไปอีกหลายวัน
p.s. Internet ที่นั่นติดๆดับๆ แต่ตอนเข้า google ก็ยังมีหน้า google.com.et อีกแหนะ… โห ทั่วโลกจริงๆ แต่จะว่าไปไอ้ conference ที่ผมมานี้ก็ sponsor โดย Microsoft นะ… โลกนี้น่าสนใจจริงๆ
ขอบคุณครับ
มีความก้าวหน้าดีๆ มาฝาก เสมอ
เป็นเรื่องดีดี ที่น่าสนใจมากมาก ขอบคุณที่แบ่งปัน
มาช่วยกันสร้างแรงจูงใจและสร้างโอกาสให้เยาวชนไทยเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ และผู้ประกอบการสังคมกันเถอะ
ขอบคุณที่แชร์กันนะครับ แล้วไปคราวนี้นอกจากหนุนกิจการเพื่อสังคมแล้ว มีอะไรเพิ่มเติมน่าเอามาทำในบ้านเราบ้างไหมครับ ถ้าบ้านเรามีกิจการเพื่อสังคม คือบาลานซ์กันระหว่างสังคมกับธุรกิจได้ คงดีไม่น้อย
อ่านเรื่องประชุม เรื่อง YSEI อยู่เพลินๆ
กำลังเคลิ้ม
มาสะดุดกับย่อหน้าท้ายๆนี่แหละ -*-