คิดถึงอาจารย์ไพบูลย์….
ดีใจที่มีโอกาสทำงานกับท่าน
ท่านเป็นตัวอย่างเรื่องการยึดมั่นในคุณธรรม
แต่เครพและอดทนอย่างมากในการฟังทุกฝ่าย
และพยายามนำทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้ง
ท่านไม่เคยเชื่อว่าอะไรจะสำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ
ท่านพยายามมองข้อดีของทุกคนทุกฝ่าย
เล่นบทบาทเชื่อมโยงผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย
ให้มาร่วมกันทำอะไรร่วมกันได้อย่างน่าฉงน
บางคนว่าท่านช้า ไม่เด็ดขาด กว้างเกินไป
แต่มองไม่เห็นว่าท่านพยายามถักใจคน
ท่านไม่ได้มองแค่งานที่อยู่ตรงหน้า
แต่มองกลุ่มคนที่หากมีใจแล้วจะสร้างงานไม่รู้จบ
ท่านจึงละเอียดอ่อนกับการแสดงออกมาก
เพื่อไม่ให้ไปครอบหรือบังคับใครแม้ในทางความคิด
ผมเคยบ่นกับท่านหลายครั้งว่าทำไมต้องฟัง
ทำไมต้องพยายามดึงคนที่คิดไปคนละแนวเข้ามา
นอกจากเหนื่อยแล้วยังช้าและซับซ้อน
ท่านก็มักจะสอนให้เราเปิดใจให้ได้ก่อน
ผมก็งงว่าทำไมต้องขนาดนั้นด้วย
จนเริ่มเข้าใจท่ามกลางความขัดแย้งในสังคมตอนนี้
ก่อนท่านเสียไม่นานนัก ท่านได้โทรมาฝากฝัง
เรื่อง philanthropy ไว้ให้เคลื่อนต่อ พูดอยู่นาน
ย้ำว่าเป็นฐานให้เกิดภาคประชาสังคมที่แข็งแรงได้
เข้าใจว่ารากศัพท์แปลว่าความรักต่อมวลมนุษย์
…. ผู้ใหญ่แบบนี้หาได้ยากในยุคการปลุกระดม
ให้ทุกฝ่ายโกรธเกลียดเพื่อเอาชนะกันแบบนี้
เป็นผู้ที่มีความอดทนที่จะยึดมั่นในคุณธรรมความถูกต้อง
ไปพร้อมๆกับการเป็นนักประชาธิปไตย
ไม่ใช่ในอุดมคติ แต่อยู่ในทุกงานที่ทำ
เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทีละ “เล็กน้อย”
ผมสงสัยว่าถ้าอาจารย์ยังอยู่ ท่านจะคิดและทำอะไร? ท่านไม่เคยอยู่เฉยๆต่อสถานการณ์ทางสังคมใดๆ
ท่านจะแนะนำคนรอบๆตัวท่านที่กระจายไปในแต่ละฝ่ายว่าอย่างไร?
//ขอบคุณรูปคุณเชษฐา มั่นคงที่ทำให้คิดถึงอาจารย์
จนชัดเจนในจุดยืนของตนมากขึ้นอีกนิด